รับปิดงบการเงินเปล่า
ให้บริการด้านการจัดตั้งธุรกิจ รับปิดงบการเงินเปล่า รับปิดงบการเงินทั่วไทย ทราบกันดีว่า ทุกๆ สิ้นปี 31 ธันวาคม นิติบุคคลจะต้องปิดงบการเงิน เพื่อ นำส่ง กระทรวงพาณิชย์ กรมสรรพากร และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และมีระยะเวลากำหนดรับงบการเงิน หากยื่น เกินกำหนด ก็จะก่อให้เกิด ค่าปรับต่างๆ และยังส่งผลกระทบด้านอื่น ตามมา เช่น บางบริษัท อาจจะเป็นต้องใช้งบการเงินในการยืมกู้สินเชือต่างๆ หรือใช้ประมูลงานราชการซึ่งจำเป็นต้องใช้งบการเงิน ประกอบ ดังนั้น บริษัท ยินดีที่จะให้บริการ ปิดงบการเงินให้กับ นิติบุคคล เช่น ห้างหุ้นส่วนสามัญ นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม มูลนิธิ นิติบุคคลหมู่บ้าน โรงเรียน ฯลฯ การยื่นภาษีบุคคลธรรมดา ใบทะเบียนพาณิชย์ (ร้านค้า) หน้าที่การยื่น แบบแสดงรายได้ เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่มีรายได้ ให้ยื่น ภายในสินเดือน มีนาคม ของทุกปี ซึ้งของดีคือ ผุ้ประกอบการสามารรถใช้เอกสารการเสียภาษี เป็นเอกสารประกอบการยืมกู้ของสินเชือได้ เพราะสถาบันการเงินจะขอหลักฐานที่แสดงว่ามีรายได้
บริการเริ่มตั้งแต่การให้ คำแนะนำในการเลือกประเภทจดทะเบียนธุรกิจ วางระบบบัญชี ทำบัญชีรายเดือน การวางแผนกำหนดชำระภาษี ปิดงบการเงิน จนถึง ตรวจสอบงบการเงิน พร้อมนำส่ง กระทรวงพาณิชย์ และกรมสรรพากร ให้ทันตามเวลากำหนด โดยให้ลูกค้าเสียภาษี น้อยที่สุดตามที่กฎหมายกำหนด
สิ่งสำคัญในการทำธุรกิจ ไม่ใช่การจัดตั้งบริษัทจำกัด หรือจดห้างหุ้นส่วนจำกัด แต่เป็นเรื่องของการวางแผนภาษี การจัดทำบัญชี มากกว่า การดูแลให้ธุรกิจอยู่รอดในแต่ละปี ทำอย่างไรถึงจะมีงานตลอด ขายของได้ตลอด มียอดขายดี สิ่งที่ผู้ประกอบการ SME ต้องการมากกว่าแค่การทำบัญชีทั่วๆไป คือ “คำปรึกษา” ซึ่งทางบริษัท ควิกแอคเคาท์ติ้ง จำกัด เป็นมากกว่าสำนักงานบัญชี สิ่งที่เราให้ จะมีมูลค่ามากกว่าค่าบริการที่เราได้รับ เราให้ได้เพราะเราขาย “ประสบการณ์” ประสบการณ์ที่ผู้บริหารหลายท่านต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ แต่เรานำมาถ่ายทอดให้ท่านฟรี เพียงเพราะเราต้องการให้ธุรกิจของท่านเติบโต และดำเนินไปด้วยความราบรื่นด้วยดีตลอดไป
ปรึกษาเรื่องการปิดงบการเงิน จดทะเบียนบริษัท ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย เราดำเนินงานด้าน รับจดทะเบียนบริษัท จดทะเบียนบริษัท อย่างมีระบบ และคำนึงถึงความถูกต้อง เราสามารถช่วยหาทางออกในการดำเนินธุรกิจของท่านให้ประสบความสำเร็จได้ โทร 083-622-5555
รับปิดงบเปล่า รับปิดงบการงานเงินเปล่า ปิดงบเปล่า ปิดงบการเงินเปล่า ปิดงบเปล่าด่วน
บริการจดทะเบียนบริษัท
<p>รับจดทะเบียนบริษัททุกประเภท ทั่วไทย เริ่มตั้งแต่ให้คำปรึกษา จองชื่อนิติบุคคล จัดเตรียมแบบ ไปจดทะเบียน ณ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า</p>บริการขอใบอนุญาต
<p>บริการยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงงาน ท่องเที่ยว ใบอนุญาต อย.และ สคบ. ขอวีซ่า work permit ขออนุญาตเป็นตัวแทนออกของ</p>บริการด้านรับทำบัญชี
<p>บริการด้านรับทำบัญชี เพียงไม่กี่รายในประเทศไทย ที่มีมาตรฐานในการทำงาน เนื่องด้วยผู้บริหารหลายท่าน มีวิสัยทัศน์ในเรื่องการบริหาร การตลาดยุคใหม่</p>
พิเศษ !!! สำหรับลูกค้าจดทะเบียนใหม่
ส่วนลดพิเศษ!! จัดทำเว็บไซต์จาก
ปกติ 12,000 บาท เหลือเพียง 5,000 บาท
ฟรี !!! ระบบอีเมล์ภายใต้ชื่อโดเมนเนม
พิเศษ !!! ลูกค้าจดทะเบียนใหม่และทำบัญชี
- ฟรี เว็บไซต์ สำหรับบริษัทพร้อมแนะนำการทำตลาดออนไลน์
- ฟรี ออกแบบโลโก้บรษัท
- ฟรี รูปแบบใบส่งสินค้า ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงินและเอกสารสำคัญอื่นๆ
- ฟรี ขึ้นทะเบียน ระบบ E-FILING เพื่อใช้นำส่งงบการเงินกับกระทรวงพาณิชย์
- ฟรี จดทะเบียน ภ.อ.01 เพื่อใช้ยื่นภาษีผ่าระบบออนไลน์
- ฟรี จัดเตรียมเอกสารขึ้นทะเบียน E-GP (ระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ)
- ฟรี ที่ปรึกษาด้านการตลาดและบริหารธุรกิจ
สิ่งที่ลูกค้าได้รับ
ฟรี จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ฟรี ออกแบบตรายางให้เลือก 3 แบบ
ฟรี ตรายางหมึกในตัว 2 อัน *
ฟรี ไฟล์ตรายาง สำหรับนำไปใช้งาน (ไฟล์ AI)
ฟรี เอกสารสำหรับเปิดบัญชีธนาคาร
ฟรี แบบฟอร์มเอกสารทางบัญชี
ฟรี นามบัตรสำหรับออกใบกำกับภาษี
ฟรี คอร์สอบรมผู้ประกอบการใหม่ (มูลค่า 5,900 บาท)
ฟรี จัดทำบัญชี ฟรี 1 เดือน ***
ใบสำคัญจดทะเบียนพาณิชย์
หนังสือรับรองบริษัท
รายละเอียดวัตถุประสงค์บริษัท
รายงานการประชุมตั้งบริษัท
หนังสือบริคณห์สนธิ (บอจ.2)
รายการจดทะเบียนจัดตั้ง (บอจ.3)
สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5)
ออกแบบเว็บไซต์ องค์กร/หน่วยงาน ราคาพิเศษ 5,000 บาท
*** หมายเหตุ
– * ตรายางอันที่ 2 และ 3 เป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
– *** จัดทำบัญชีฟรี 1 เดือน สำหรับลูกค้าใหม่ที่ตกลงใช้บริการทำบัญชี ตั้งแต่ 12 เดือน ขึ้นไป
จังหวัดนครราชสีมา
คำขวัญ: เมืองหญิงกล้า ผ้าไหมดี หมี่โคราช ปราสาทหิน ดินด่านเกวียน
ฝังศพผู้ใหญ่ไว้ในภาชนะดินเผา ที่อำเภอพิมายพบภาชนะดินเผาแบบพิมายดำ (Phimai Black Ware) เมื่อเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์วัฒนธรรมเขมรอินเดียและพระพุทธศาสนาเข้ามาในพื้นที่ ทำให้ชุมชนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ถูกแทนที่ด้วยชุมชนในยุคประวัติศาสตร์ซึ่งได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากภายนอก
สมัยโบราณ
อาณาจักรศรีจนาศะ
ในยุคทวารวดีปรากฏมีอาณาจักรศรีจนาศะ หรือ “จนาศะปุระ” ขึ้นซึ่งสันนิษฐานว่ามีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองโบราณเสมา ในตำบลเสมาอำเภอสูงเนินในปัจจุบัน พบหลักฐานเกี่ยวกับอาณาจักรศรีจนาศะจากจารึกสองชิ้นได้แก่ จารึกบ่ออีกาพบที่บ้านอีกาอำเภอสูงเนิน กำหนดอายุที่พ.ศ. 1411 ใช้อักษรหลังปัลลวะและจารึกด้วยภาษาสันสกฤตและภาษาเขมร กล่าวถึงพระราชาแห่งศรีจนาศะประทานสัตว์และทาสแก่พระสงฆ์และสรรเสริญอังศเทพผู้สร้างศิวลึงค์ และจารึกศรีจนาศะซึ่งพบที่อยุธยาเป็นอักษรขอมโบราณในภาษาสันกฤตและเขมรกล่าวถึงรายพระนามกษัตริย์แห่งศรีจนาศะจารึกขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 1480 เมืองเสมาเป็นเมืองมีคูน้ำคันดินล้อมรอบเป็นรูปวงกลมรีพบโบราณสถานจำนวนเก้าแห่ง นอกจากนี้ยังมีพระนอนหินทรายที่วัดธรรมจักรเสมารามซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในยุคศรีจนาศะ หลักฐานที่พบแสดงว่าถึงพระพุทธศาสนาในศรีจนาศะซึ่งได้รับอิทธิพลจากทวารวดีอยู่คู่กับศาสนาพราหมณ์ไศวนิกาย เมืองศรีจนาศะมีความสัมพันธ์กับเมืองศรีเทพจังหวัดเพชรบูรณ์และเมืองละโว้ซึ่งอยู่ภายใต้มัณฑละเดียวกัน
เมื่อจักรวรรดิเขมรแผ่ขยายอำนาจมาในพื้นที่เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 ทำให้อาณาจักรศรีจนาศะสิ้นสุดลง จารึกเมืองเสมาพ.ศ. 1514 กล่าวถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 เมือง “โคราฆะปุระ” ถือกำเนิดขึ้นที่ตำบลโคราชริมแม่น้ำลำตะคองมีปราสาทเมืองแขกและปราสาทโนนกู่ซึ่งเป็นศิลปะแบบเกาะแกร์
ปราสาทพิมายและอาณาจักรขอมโบราณ
ปราสาทหินพิมาย สร้างขึ้นราวราวพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นโบราณสถานทรงขอมแบบบาปวนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
สันนิษฐานว่าปราสาทหินพิมายถูกสร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 เนื่องจากรูปแบบศิลปะของซุ้มและมุขหน้าปราสาทประธานเป็นศิลปะแบบบาปวนซึ่งเป็นศิลปะในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 นอกจากปราสาทหินพิมายยังมีปราสาทหินพนมวันที่ตำบลบ้านโพธิ์ซึ่งสร้างขึ้นในยุคเดียวกัน พบจารึกที่ปราสาทพิมายทั้งหมดหกหลัก กล่าวถึงการบูชาและถวายของแด่พระพุทธเจ้า การกล่าวสรรเสริญพระเจ้าสูรยวรมันที่ 1 และการสร้างรูปเคารพรวมทั้งพิธีกรรมต่างๆ จารึกปราสาทหินพิมาย 2 พ.ศ. 1579 กล่าวถึงพระนาม“ศรีสูรยวรมะ” ปราสาทหินพิมายเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนาวัชรยาน[6] ทับหลังของปราสาทประธานสลักเป็นรูปของพระชินพุทธะและพบสัญลักษณ์และรูปเคารพของวัชรยานอื่นๆ เมืองพิมายหรือ “วิมายปุระ” เป็นฐานที่มั่นของราชวงศ์มหิธรปุระซึ่งเริ่มต้นขึ้นที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 6 และต่อมาได้ครองจักรวรรดิเขมร จารึกปราสาทหินพิมาย 3 พ.ศ. 1651 ซึ่งตรงกับสมัยพระเจ้าธรณีนทรวรมันที่ 1 กล่าวว่า “…กมรเตงอัญศรีวิเรนทราธิบดีวรมะเมืองโฉกวะกุลสถาปนากมรเตงชคตเสนาบดีไตรโลกยวิชัย ซึ่งเป็นเสนาบดีแห่งกมรเตงชคตวิมายะ” ในยุคนี้มีการสร้างปราสาทพิมายเพิ่มเติมในศิลปะยุคนครวัดซึ่งเป็นศิลปะในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ปราสาทหินพิมายจึงเป็นการรวมกันของศิลปะยุคบาปวนและศิลปะยุคนครวัด
เมื่อราชวงศ์มหิธรปุระได้ขึ้นครองจักรวรรดิเขมรเมืองวิมายประทวีความสำคัญขึ้นในฐานะศูนย์กลางการปกครองของขอมโบราณในลุ่มแม่น้ำมูลตอนบน ในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 บูรณะปราสาทพิมายเนื่องจากเป็นเมืองเกิดของพระมารดา จากที่ปรากฏในจารึกปราสาทพระขรรค์พ.ศ. 1734 ที่นครธมซึ่งกล่าวถึงเส้นทางการคมนาคมในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กล่าวว่า“จากเมืองหลวงไปยังเมืองวิมาย (มี) ที่พักพร้อมด้วยไฟ 17 แห่ง” แสดงให้เห็นว่าเมืองวิมายเป็นเมืองจุดหมายปลายทางที่สำคัญ พบรูปประติมากรรมเหมือนของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่ปราสาทพิมาย ต่อมาเมื่อจักรวรรดิเขมรเสื่อมอำนาจลงและอาณาจักรอยุธยาแผ่ขยายอำนาจเข้ามาเมืองพิมายจึงลดความสำคัญลง
สมัยอยุธยา
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับปลีก เลขทะเบียน ๒๒๒ ๒/ก ๑๐๔ กล่าวถึงสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) “อยู่ปีหนึ่ง ท่านให้ก็ตกแต่งช้างม้ารี้พล ทั้งปวงจะยกไปเมืองพิมายพนมรุ้งไซร้ พอเจ้าเมืองทั้งหลายถวายบังคมพระบาทผู้เป็นเจ้าๆก็ให้พระราชทานรางวัลแล้วคืนไปอยู่ตามภูมิลำเนา”ซึ่งตรงกับศิลาจารึกขุนศรีไชยราชมงคลเทพซึ่งจารึกขึ้นเมื่อพ.ศ. 1974 และพบที่อำเภอลำสนธิจังหวัดลพบุรี กล่าวถึงสมเด็จพระอินทราบรมจักรพรรดิธรรมิกราชโปรดฯให้ขุนศรีไชยราชมงคลเทพ “เอาจตุรงค์ช้างม้ารี้พลไปโจมจับพระนครพิมายพนมรุ้ง” แสดงให้เห็นว่าอาณาจักรอยุธยาแผ่ขยายอำนาจเข้ามาในเขตลุ่มแม่น้ำมูลตอนบนและที่ราบสูงโคราชด้านตะวันตกในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าสามพระยาฯ
ในสมัยอยุธยาเมืองนครราชสีมาคือ “เมืองโคราฆะ” ริมแม่น้ำลำตะคองในตำบลโคราชอำเภอสูงเนินในปัจจุบันซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับเมืองเสมา เมืองนครราชสีมามีความสำคัญในฐานะเป็นฐานการปกครองของอยุธยาในลุ่มแม่น้ำมูลตอนบนและเป็นรอยต่ออาณาเขตของอยุธยากับอาณาจักรล้านช้างและเขมรป่าดง ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจากกฎมณเฑียรบาลเมืองนครราชสีมาเป็นหนึ่งในเมืองพระยามหานครแปดเมืองซึ่งเจ้าเมืองต้องถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ในพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน นาทหารหัวเมือง ปรากฏราชทินนามของเจ้าเมืองนครราชสีมาว่า ออกญากำแหงสงครามรามภักดีอภัยพิรียบรากรมภาหุ ศักดินา 10,000 ไร่ พงศาวดารเขมรระบุว่าในพ.ศ. 2113 เมื่อสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 แห่งอาณาจักรเขมรละแวกเข้าตีกรุงศรีอยุธยาไม่สำเร็จจึงยกทัพเข้ามายึดเมืองนครราชสีมาได้สำเร็จสมเด็จพระนเรศวรฯทรงจัดการปกครองหัวเมืองขึ้นใหม่โดยเมืองนครราชสีมามีฐานะเป็นเมืองชั้นโท นอกจากนี้พงศาวดารเขมรยังระบุอีกว่าในพ.ศ. 2173 รัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พระศรีธรรมราชาที่ 2 แห่งอาณาจักรเขมรอุดงยกทัพมากวาดต้อนผู้คนในเขตเมืองนครราชสีมา
เมืองโคราชสีมาในแผนที่ของ ลา ลูแบร์ พ.ศ. 2236
ครั้นถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงเห็นว่านครราชสีมามีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เนื่องจากเป็นเมืองหน้าด่านของอยุธยาติดกับพรมแดนลาวล้านช้าง จึงโปรดฯให้ย้ายเมืองนครราชสีมาจากเมืองโคราฆะเดิมและเมืองเสมามาสร้างเมืองใหม่ที่อำเภอเมืองนครราชสีมาในปัจจุบัน วางผังเมืองโดยเดอลามาร์ (De la Mare) วิศวกรชาวฝรั่งเศสเป็นตารางรูปสีเหลี่ยมกว้าง 1,000 เมตร ความยาว 1,700 เมตร มีกำแพงเมืองขนาดใหญ่ตามแบบตะวันตกมีป้อมค่ายหอรบ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงรวมชื่อเมืองโคราฆะและเมืองเสมาแล้วพระราชทานนามเมืองใหม่ว่า “เมืองนครราชสีมา” เมื่อจุลศักราช 1036 (พุทธศักราช 2217) และทรงแต่งตั้งให้พระยายมราช (สังข์)เป็นเจ้าเมือง ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ บันทึกไว้ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ว่า เมืองโคราชสีมา (Corazema) เป็นหัวเมืองใหญ่หนึ่งในเจ็ดมณฑล ตั้งอยู่ติดชายแดนของราชอาณาจักรสยามกับเมืองลาว มีเมืองบริวาร 5 เมืองได้แก่ เมืองนครจันทึก (อำเภอสีคิ้ว) เมืองชัยภูมิ เมืองพิมาย เมืองบุรีรัมย์ และเมืองนางรอง
เมื่อสมเด็จพระเพทราชาทรงยึดอำนาจในพ.ศ. 2231 พระยายมราช (สังข์) เจ้าเมืองนครราชสีมาที่แต่งตั้งโดยสมเด็จพระนารายณ์ฯแข็งเมืองไม่ไปถือน้ำพิพัฒน์สัตยา พระเพทราชาทรงส่งทัพเข้าล้อมเมืองนครราชสีมาในพ.ศ. 2232 แต่ไม่สำเร็จและถอยกลับไป พระเพทราชาจึงทรงส่งทัพมาอีกครั้งในปีถัดมาสามารถยึดเมืองนครราชสีมาได้ในที่สุด พระยายมราช (สังข์) หลบหนีไปยังเมืองนครศรีธรรมราช จากนั้นปีพ.ศ. 2241 ชาวบ้านในเมืองนครราชสีมาชื่อบุญกว้างพร้อมพรรคพวกอีกยี่สิบแปดคน[11]สามารถยึดอำนาจในเมืองนครราชสีมาจากเจ้าเมืองคนใหม่ได้ นำไปสู่กบฏบุญกว้าง พระเพทราชาทรงส่งทัพเข้าล้อมเมืองนครราชสีมาอีกครั้งกินเวลายืดเยื้ออยู่นานถึงสามปี ฝ่ายอยุธยาใช้อุบายผูกหม้อดินระเบิดกับว่าวจุฬาแล้วชักให้ลอยไปตกในเมืองนครราชสีมาเพื่อให้เกิดเพลิงไหม้ จนกระทั่งเจ้าเมืองนครราชสีมาออกอุบายให้บุญกว้างและพรรคพวกยกทัพไปตั้งที่ลพบุรีทัพหลวงจึงเข้าตีทัพบุญกว้างพ่ายแพ้ไป ในขณะที่พงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศกล่าวว่าหลังจากถูกล้อมบุญกว้างและพรรคพวกหลบหนีออกจากเมืองนครราชสีมาไปได้
เมื่อทัพพม่าเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาในพ.ศ. 2309 กรมหมื่นเทพพิพิธพระโอรสในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จจากหัวเมืองชายทะเลตะวันออกมาเกลี้ยกล่อมให้พระยานครราชสีมาเจ้าเมืองนครราชสีมาให้การสนับสนุนแด่พระองค์ในการกอบกู้อยุธยาจากการล้อมของพม่า แต่พระยานครราชสีมาไม่ยินยอมด้วย กรมหมื่นเทพพิพิธจึงทรงส่งหม่อมเจ้าประยงพระโอรสและหลวงมหาพิชัยลักลอบนำกองกำลังเข้าเมืองนครราชสีมาและทำการลอบสังหารพระยานครราชสีมา กรมหมื่นเทพพิพิธจึงทรงสามารถยึดเมืองนครราชสีมาได้แต่เพียงไม่นานน้องชายของพระยานครราชสีมาที่ถูกสังหารไปนั้นคือหลวงแพ่งหลบหนีไปยังเมืองพิมายขอความช่วยเหลือจากพระพิมายผู้เป็นเจ้าเมืองพิมายในการยึดเมืองนครราชสีมาคืนจากกรมหมื่นเทพพิพิธ พระพิมายและหลวงแพ่งยกทัพจากเมืองพิมายเข้ามายึดเมืองนครราชสีมาได้สำเร็จและจับกุมกรมหมื่นเทพพิพิธ พระพิมายไว้พระชนม์ชีพกรมหมื่นเทพพิพิธและเชิญกรมหมื่นเทพพิพิธไปประทับที่เมืองพิมาย หลวงแพ่งได้เป็นพระยานครราชสีมา
สมัยกรุงธนบุรี
หลังกรุงศรีอยุธยาล่มสลายในพ.ศ. 2310 เจ้าเมืองพิมายจึงยกให้กรมหมื่นเทพพิพิธขึ้นเป็น”เจ้าพิมาย” เกิดชุมนุมเจ้าพิมายขึ้น เจ้าพิมายกรมหมื่นเทพพิพิธทรงแต่งตั้งเจ้าเมืองพิมายเดิมเป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (พระพิมาย) ยกทัพเข้าลอบสังหารพระยานครราชสีมา (หลวงแพ่ง) ชุมนุมเจ้าพิมายมีเขตอำนาจตั้งแต่สระบุรี[12]ขึ้นไปจรดเขตแดนของอาณาจักรล้านช้าง เป็นหนึ่งในชุมนุมต่างๆที่เกิดขึ้นหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาโดยมีกรมหมื่นเทพพิพิธหรือเจ้าพิมายป็นผู้นำ ในพ.ศ. 2311 หลังจากที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงตีค่ายโพธิ์สามต้นแตกแล้ว มองย่าปลัดทัพฝ่ายพม่าหลบหนีมาเข้าพวกกับชุมนุมพิมาย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงยกทัพติดตามขึ้นมาตีชุมนุมเจ้าพิมาย เจ้าพิมายให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์ (พระพิมาย) ตั้งรับอยู่ที่ด่านจอหอ (ตำบลจอหอ อำเภอเมือง) และให้พระยาวรวงษาธิราชบุตรชายของเจ้าพระศรีสุริยวงษ์ตั้งทัพอยู่ที่ด่านขุนทดทัพหลวงของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกทัพเข้ายึดค่ายของเจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์ (เจ้าพิมาย) ที่จอหอได้สำเร็จ เจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์ (พระพิมาย) ถูกจับกุมและประหารชีวิต พระราชวรินทร์ (ทองด้วง) ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระมหามนตรี (บุญมา) ต่อมาคือกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เข้ายึดค่ายของพระยาวรวงษาธิราชที่ด่านขุนทดได้สำเร็จ เมื่อทัพทั้งสองพ่ายแพ้แก่ธนบุรีเจ้าพิมายจึงหลบหนีจากเมืองพิมายไปยังลาวล้านช้างแต่ขุนชนะจับเจ้าพิมายมาถวายแด่พระเจ้ากรุงธนบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรีฯทรงสำเร็จโทษเจ้าพิมายและแต่งตั้งให้ขุนชนะเป็นพระยากำแหงสงครามครองเมืองนครราชสีม] ชุมนุมเจ้าพิมายจึงสิ้นสุดลงและนครราชสีมาจึงเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของธนบุรี
ในสมัยธนบุรีปรากฏมีนามเจ้าเมืองนครราชสีมาได้แก่ พระยากำแหงสงคราม (ขุนชนะ) และ”เจ้าพระยานครราชสีมา” (ปิ่น) เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทรงยกทัพไปอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ปีพ.ศ. 2321 นั้น เจ้าพระยานครราชสีมา (ปิ่น) ได้เป็นทัพหน้า ในพ.ศ. 2323 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงให้พระยากำแหงสงคราม (ขุนชนะ) ย้ายไปรับราชการที่ธนบุรีและแต่งตั้งให้หลวงนายฤทธิ์ (ทองอิน) เป็นพระยาสุริยอภัย (ทองอิน) เป็นเจ้าเมืองนครราชสีมา (ต่อมาคือเจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์เทเวศร์) และพระอภัยสุริยา (บุญเมือง) เป็นปลัดเมืองนครราชสีมา (ต่อมาคือเจ้าฟ้ากรมหลวงธิเบศรบดินทร์) ในช่วงปลายรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีฯเมื่อเกิดการกบฏพระยาสรรค์ขึ้น พระยาสุริยอภัยเจ้าเมืองนครราชสีมาได้นำกำลังทหารของนครราชสีมาเข้าควบคุมสถานการณ์ที่กรุงธนบุรีไว้ก่อนที่เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์จะยกทัพกลับมาจากกัมพูชาและเกิดการเปลี่ยนแผ่นดิน
สมัยรัตนโกสินทร์
ท้าวสุรนารี
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงแต่งตั้งให้พระยานครราชสีมา (เที่ยง) บุตรของเจ้าพระยานครราชสีมา (ปิ่น) เป็นเจ้าเมืองนครราชสีมา เมื่อสยามมีอำนาจเหนือหัวเมืองประเทศราชลาวล้านช้างทำให้เมืองนครราชสีมามีความสำคัญในฐานะเป็นช่องทางและสื่อกลางระหว่างส่วนกลางที่กรุงเทพฯและประเทศราชลาว เมืองนครราชสีมาจึงถูกยกฐานะขึ้นมาเป็นเมืองชั้นเอก เจ้าเมืองนครราชสีมามีอำนาจในการสอดส่องดูแลประเทศราช ๓ เมือง คือ เวียงจันทน์ นครพนม จำปาศักดิ์ รวมทั้งหัวเมืองเขมรป่าดง ในสมัยรัชกาลที่ 2 พ.ศ. 2362 เกิดกบฏอ้ายสาเกียดโง้งที่อาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ มีรับสั่งให้พระยานครราชสีมา (เที่ยง) นำกองทัพไปปราบ ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองนครราชสีมาต่อจากพระยานครราชสีมา (เที่ยง) คือเจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) เป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าพระยานครราชสีมา (ปิ่น)
ในสมัยรัชกาลที่ 3 พ.ศ. 2369 ขณะที่เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) กับพระปลัดเมืองนครราชสีมากำลังอยู่ในราชการที่เมืองขุขันธ์อยู่นั้น เจ้าอนุวงศ์ยกทัพลาวมายึดครองเมืองนครราชสีมาได้และสั่งให้กวาดต้อนชาวเมืองนครราชสีมาไปยังเวียงจันทน์ พระยาพรหมยกกระบัตรเมืองนครราชสีมาจำต้องยอมจำนนต่อเจ้าอนุวงศ์ ฝ่ายพระปลัดเมืองนครราชสีมาเมื่อทราบว่าฝ่ายลาวเข้ายึดเมืองนครราชสีมาแล้วจึงรีบเดินทางกลับมายังนครราชสีมาแสร้งทำทีว่าเข้าสวามิภักดิ์ต่อเจ้าอนุวงศ์ พระปลัดเมือง พระยาพรหมยกกระบัตร จึงนำชาวเมืองนครราชสีมาติดตามเจ้าอนุวงศ์ไปจนกระทั่งถึงทุ่งสัมฤทธิ์ (ตำบลสัมฤทธิ์ อำเภอพิมาย) พระปลัดเมืองและพระยาพรหมจึงนำกองกำลังชาวเมืองนครราชสีมาเข้าโจมตีฝ่ายลาว ในขณะที่คุณหญิงโมภริยาของพระปลัดเมืองฯนำทัพของผู้หญิงถืออาวุธเป็นกระบองและหลาวทำจากไม้[14]เข้าต่อสู้กับฝ่ายลาว นำไปสู่วีรกรรมที่ทุ่งสัมฤทธิ์ นางสาวบุญเหลือบุตรีของหลวงเจริญกรมการเมืองผู้น้อยฯวิ่งนำคบเพลิงไปจุดชนวนเกวียนบรรทุกกระสุนดินดำทำให้เกิดระเบิดอย่างรุนแรง นางสาวบุญเหลือสละชีพเสียชีวิตไปพร้อมกับเพี้ยรามพิชัยขุนพลฝ่ายลาว เหตุการณ์วีรกรรมที่ทุ่งสัมฤทธิ์ทำให้เจ้าอนุวงศ์ต้องถอยทัพกลับไปโดยให้เจ้าโถงผู้เป็นหลานตั้งมั่นอยู่ที่เมืองพิมาย ต่อมาในพ.ศ. 2370 คุณหญิงโมจึงได้รับการปูนบำเหน็จแต่งตั้งให้เป็น “ท้าวสุรนารี” กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพทรงยกทัพมาตั้งมั่นที่นครราชสีมา เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) เข้าเฝ้ากรมพระราชวังบวรฯ กรมพระราชวังบวรฯมีพระบัณฑูรให้เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) อยู่ฟื้นฟูเมืองนครราชสีมาให้กลับขึ้นมาดังเดิม พระยาราชสุภาวดี (สิงห์) ต่อมาคือเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) สามารถตีทัพของเจ้าโถงแตกพ่ายไปแล้วยึดเมืองพิมายคืนมาได้
เมื่อ เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) ถึงแก่กรรม พระพรหมบริรักษ์ (เกษ) บุตรชายคนโตของเจ้าพระยาบดินทรเดชาได้รับการแต่งตั้งให้เป็น เจ้าเมืองนครราชสีมาคนต่อมา
เมื่อว่างเว้นจากสงคราม เมืองโคราชได้ฟื้นตัวขึ้นใหม่กลายเป็นชุมทาง การค้าที่สำคัญ ในการติดต่อระหว่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับภาคกลาง มีกองเกวียน กองคาราวานการค้า ขนาดใหญ่ผ่าน และ หยุดพักอยู่เสมอ
ในสมัยรัชกาลที่ 4 บาทหลวงปาลเลกัวซ์ ได้เขียนว่า ตัวเมืองโคราชล้อมรอบด้วยกำแพงตั้งอยู่บนที่ราบสูง เดินทางจากบางกอกใช้เวลา 6 วันโดยไต่ระดับสูงขึ้นไปตามเส้นทาง ดงพญาไฟ ประชากรโคราชมีประมาณ 60,000 คน ครึ่งหนึ่งเป็นคนสยาม อีกครึ่งหนึ่งเป็นคนเขมร ในตัวเมืองมีประชากร 7,000 คน มีคนจีนประมาณ 700 คน มีเหมืองแร่ทองแดง มีโรงหีบอ้อย สินค้า คือ ข้าว งาช้าง หนังสัตว์ เขาสัตว์ ไม้เต็ง อบเชย
ในรัชกาลนี้ เจ้าพระยานครราชสีมา (เกษ) ได้เลื่อนเป็น เจ้าพระยามุขมนตรี (เกษ) และ เจ้าเมืองนครราชสีมาคนต่อมาคือ พระยานครราชสีมา (แก้ว) บุตรชายคนรองของเจ้าพระยาบดินทรเดชา หลังจากนั้น พระยานครราชสีมา (แก้ว) ได้เลื่อนเป็น เจ้าพระยายมราช (แก้ว) และ เจ้าเมืองคนต่อมาคือ พระยานครราชสีมา (เมฆ) บุตรชายคนโตของ เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน)
ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระยานครราชสีมา (เมฆ) บุตรของ เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) ได้เป็นแม่ทัพบกไปปราบจีนฮ่อที่เมืองหนองคาย ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งมณฑลนครราชสีมาเพื่อควบคุมดูแลหัวเมืองในบริเวณใกล้เคียง เป็นมณฑลแรกของประเทศ มีพระยานครราชสีมา (กาจ สิงหเสนี) บุตรเขยของพระยานครราชสีมา (เมฆ) เป็นผู้ว่าราชการคนแรก มีการจัดตั้งกองทหารประจำมณฑลตามหลักสากล มีการตั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจที่นครราชสีมา มีการสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพฯ ผ่านอยุธยา สระบุรี ดงพญาไฟ ไปสู่นครราชสีมา จนเปิดการเดินรถไฟหลวง สายกรุงเทพ – นครราชสีมา ได้สำเร็จ การคมนาคมติดต่อสะดวกขึ้นเป็นอย่างมาก ในช่วงเดียวกันฝรั่งเศสได้เข้ามามีอำนาจเหนือคาบสมุทรอินโดจีน ทำให้สยามจำต้องเร่งการปรับปรุงพัฒนาราชอาณาจักรโดยเฉพาะในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีการจัดตั้งการขนส่งปรษณียภัณฑ์ทางอากาศ และ สายการบินระหว่าง กรุงเทพ – นครราชสีมา มีการขยายเส้นทางรถไฟสายอีสาน จนสามารถขยายเส้นทางการเดินรถไฟจาก นครราชสีมา ถึง ขอนแก่น และ นครราชสีมา ถึง อุบลราชธานี ได้สำเร็จในสมัยรัชกาลที่ 7
ยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ในช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระองค์เจ้าบวรเดช ได้รวบรวมกองกำลังทหารจากมณฑลนครราชสีมาเป็นหลัก ร่วมกับ พันเอกพระยาศรีสิทธิ์สงคราม เพื่อทำการต่อสู้กับคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะผู้ก่อการได้ยกกองกำลังเข้ามาล้อมกรุงเทพฯ แต่เมื่อการต่อสู้ยืดเยื้อในที่สุดก็ต้องถอยทัพและประสบความพ่ายแพ้เนื่องจากมีกำลังที่น้อยกว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ พันโทหลวงพิบูลสงครามผู้บัญชาการกองกำลังผสมฝ่ายรัฐบาล มีอำนาจในการควบคุมกำลังทหารมากขึ้นส่งผลให้ได้อำนาจทางการเมืองและจัดตั้งรัฐบาลทหารได้ในเวลาต่อมา
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทหารในสังกัด มณฑลทหารบกที่ 3 นครราชสีมา ได้ทำการร่วมรบในกรณีพิพาทอินโดจีน กองทัพไทยสามารถยึดดินแดนกลับคืนมาบางส่วน เป็นการชั่วคราว หลังสงครามยุติสหรัฐอเมริกาได้ให้ความช่วยเหลือสร้างถนนมิตรภาพ จาก สระบุรี ถึง นครราชสีมา ซึ่งเป็นทางหลวงที่ได้มาตรฐานดีที่สุดของประเทศในขณะนั้น
ในช่วงสงครามเวียดนาม สหรัฐอเมริกาได้ขอใช้นครราชสีมาเป็นฐานบัญชาการการรบ มีการสร้างฐานบินโคราช และต่อมาไทยได้เปลี่ยนให้เป็น กองบิน 1 ซึ่งเป็นฐานกำลังรบทางอากาศหลักของกองทัพอากาศไทยในปัจจุบัน โดยมีมีเครื่องบิน F-16 ประจำการอยู่สองฝูงบิน
ในปี พ.ศ. 2523 มีความพยายามรัฐประหารโดยกลุ่มทหารของ พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา แต่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ทรงแปรพระราชฐานไปประทับที่นครราชสีมา กองกำลังทหารจากกองทัพภาคที่ 2 นำโดยพลตรี อาทิตย์ กำลังเอกได้เป็นกองกำลังหลักในการปราบกบฏลงได้ในที่สุด หลังจากนั้น อดีตผู้บัญชาการกองทัพภาคที่ 2 หลายท่านได้ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในเวลาต่อมา
เนื่องจากความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ปัจจุบัน นครราชสีมา จึงได้กลายเป็นเมืองศูนย์กลางการปกครองที่สำคัญรองจากกรุงเทพมหานคร เป็นประตูสู่อิสาน เป็นศูนย์กลางการคมนาคมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งเป็นที่ตั้งของกองฐานกำลังรบหลักของกองทัพบก และกองทัพอากาศในปัจจุบัน
ในปี พ.ศ. 2553 ได้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในจังหวัดนครราชสีมา เนื่องจากฝนช่วงปลายฤดูตกหนักในบริเวณต้นแม่น้ำมูล นับเป็นอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 50 ปี